กรรมวิธีการปรับปรุงคุณภาพพลอย
การปรับปรุงคุณภาพพลอย คือการทำให้พลอยมีคุณภาพดีและสวยงามมากขึ้น ซึ่งเป็นที่ยอมรับในบางวิธีเพราะเเป็นการปรับปรุงแบบถาวร แต่บางวิธีก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับ
กรรมวิธีปรับปรุงคุณภาพพลอย มีดังต่อไปนี้นี้
1. การเผาพลอย (Heat treatment)
2. การเคลือบสีพลอย (Diffusion)
3. การฉายรังสี (Irradiation)
4. การย้อมสี (Dyed)
5. การแช่น้ำมัน (Oiling)
6. การอุด (Surface repair)
7. การเคลือบด้วยขี้ผึ้งหรือพลาสติก (Wax or plastic impregnetion)
8. พลอยปะ (Assembled stones)
9. การฉาบสี (Foilback)
1.“การเผาพลอย” เป็นการปรับปรุงคุณภาพพลอยอย่างหนึ่ง สามารถทำได้ทั้งในพลอยเนื้ออ่อนและพลอยเนื้อแข็ง บางคนอาจเคยได้ยินกับคำว่า พลอยสด/พลอยดิบ เผาเก่า เผาใหม่ กันมาบ้างแล้ว ในท้องตลาดจะหมายถึงการเผาในพลอยเนื้อแข็ง หมายถึงพลอยตระกูลคอรันดัม (Corundum) ได้แก่ ทับทิม (Ruby) และแซฟไฟร์ (Sapphire) เราจะพูดถึงพลอยเนื้อแข็งกัน
เผาเพื่ออะไร?
คือ เผาให้สวยขึ้นค่ะ พลอยมีสีเข้มเกินไป ก็เผาลดสีลง หรือเรียกว่าเผาถอยสี หากพลอยสีอ่อนไปก็สามารถเผาให้สีเข้มขึ้น การเผาให้พลอยใสขึ้นก็สามารถทำได้เช่นกัน ซึ่งไม่ใช่พลอยทุกเม็ดที่จะเผาให้สวยขึ้นได้ พลอยแต่ละชนิดจะมีแหล่งที่มาและใช้กรรมวิธีแตกต่างกัน ผู้เผาพลอยจึงต้องมีความชำนาญในการดูก้อนพลอยว่าควรเผาแบบใดจึงจะดีและเหมาะสมกับพลอย
พลอยที่ไม่ได้ผ่านการเผาเรียกว่า “พลอยสด/พลอยดิบ” ทั่วไปราคาจะสูงกว่าพลอยเผามาก แต่ไม่ได้หมายความว่าพลอยเผาคุณภาพไม่ดี การเผาพลอยทับทิมและแซฟไฟร์ได้รับการยอมรับกันทั่วโลก
หากมีการซื้อขายพลอยกันก็ควรที่จะเปิดเผย
พลอยเผาเก่ากับเผาใหม่แตกต่างกันอย่างไร?
หลายคนคงสับสนกับคำว่าเผาเก่าและเผาใหม่ “เผาเก่า” หมายถึงผ่านการเผาเก่า หรือเผาใหม่ คือผ่านการเผาใหม่ มีรายละเอียดดังนี้
เผาเก่า : หมายถึงการเผาแบบดั้งเดิม เป็นการเผาแบบให้ความร้อนโดยไม่ใส่สารใดๆ และรวมถึงการเผาทับทิมที่มีการใส่สารบอแรกซ์และซิลิกา เพื่อไปประสานรอยร้าวของพลอย หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “น้ำยา” นั่นเอง การเผาแบบนี้เป็นการเผาที่ทำมานานแล้ว บางครั้งก็เรียกกันว่าอุดแก้ว (Glass filling)
เผาใหม่ : ในตลาดจะหมายถึงพลอยสองประเภทค่ะ คือ
ประเภทที่ 1 คือ การเผาโดยใส่สาร "เบอริลเลียม (Be)" มักทำในพลอยแซฟไฟร์ เช่น บุษราคัม (Yellow Sapphire) เขียวส่อง (Green Sapphire) แซฟไฟร์สีส้มอมชมพูหรือพัดพารัดชา (Padparadscha) พลอยทับทิมและแซฟไฟร์จากเมืองซองเจีย บางคนเข้าใจผิดว่าการใส่เบอริลเลียมเป็นการใส่สี สารเบอริลเลียมเป็นสารไม่มีสี แต่เบอริลเลียมจะไปทำปฏิกิริยากับธาตุที่มีอยู่ภายในพลอย ทำให้พลอยสีสวยขึ้นและสีก็คงทนถาวร
ประเภทที่ 2 คือ การเผาแบบใส่ “แก้วตะกั่ว” (Lead Glass) ลงไปในกระบวนการเผาพลอย พลอยที่นำมาเผาวิธีนี้มักจะมีรอยแตกร้าวมาก การใส่แก้วตะกั่วลงไปก็เพื่อประสานรอยแตกให้เรียบเนียนขึ้น ซึ่งต่างจากการเผาเก่าที่ไม่ได้มีการผสมตะกั่วลงไป บางครั้งอาจมีการใส่โลหะหนักอื่นๆ เช่น บิทมัส ลงไปด้วย การเผาวิธีนี้พบมากในพลอยทับทิมอาฟริกา
การเผาพลอยตระกูลคอรันดัมยังมีอีกวิธีหนึ่งที่เรียกว่าการเผาแบบ “ซ่านสี” ค่ะ หรือภาษาพลอยเรียกว่า “พลอยดิฟฟิ้ว” ซึ่งนำมาจากภาษาอังกฤษ คือ Diffusion treatment นั่นเอง การเผาแบบนี้เป็นการเผาให้สีแพร่ลงไปในเนื้อพลอยในระดับตื้นๆ สีจึงอยู่แค่ส่วนที่ผิวเท่านั้นค่ะ
จะเห็นได้ว่าพลอยทับทิมและแซฟไฟร์สามารถเผาได้หลายวิธี
2. “การเคลือบสีพลอย (Diffusion)”
นิยมนำมาใช้กับพลอยตระกูลคอรันดัม ได้แก่ ทับทิมและแซฟไฟร์ การเคลือบสีทำได้โดย นำผงธาตุให้สีมาเผาพร้อมกับพลอยด้วยความร้อนสูง ธาตุให้สีจะแทรกเข้าไปในเนื้อพลอยเป็นชั้นบางๆ เพียง 0.10-0.50 มิลลิเมตรตามผิวพลอย และทำให้เกิดสี ฉะนั้นในกรณีของพลอยที่ผ่านการเคลือบสี หากมีการเจียระไนผิวพลอยในภายหลัง จะทำให้สีที่เคลือบไว้หายไป การสังเกตพลอยเคลือบสี จะพบว่าขอบของแต่ละเหลี่ยม (Facet junctions) จะมีสีเข้มกว่าเนื้อพลอยบริเวณอื่น
3. “การฉายรังสี (Irradiation)”
พลอยธรรมชาติที่ถูกปรับปรุงคุณภาพด้วยวิธีการอาบรังสี ทำให้พลอยมีสีสันที่เปลี่ยนไปจากเดิม เช่น โทแพซจากสีน้ำตาลเป็นสีฟ้า ทำให้พลอยมีสีสันสวยงาม ทดแทนการเปลี่ยนแปลงเองตามธรรมชาติ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายล้านปี การปรับปรุงคุณภาพพลอยด้วยการอาบรังสีในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับในตลาดค้าอัญมณีทั่วโลก
4. “การย้อมสี (Dyed)”
การย้อมสีนิยมทำกับพลอยที่มีรอยแตก เพราะสีจะสามารถซึมเข้ารอยแตกได้ เช่น ควอว์ต หยก ลาปิสลาซูลี และทับทิม
สามารถดูพลอยย้อมสีได้โดยใช้กล้องจุลทรรศน์จะเห็นสีเข้มตามรอยแตก ในกรณีของทับทิมย้อมสี หรือนำสำลีที่ชุบแอลกอฮอล์หรืออะซีโตนเช็ดด้านหลังของพลอย จะเห็นสีแดงติดที่สำลี
5.”การแช่น้ำมัน (Oiling)“
การแช่น้ำมัน นิยมทำกับมรกต เพราะมรกตเป็นพลอยที่มีรอยแตกมาก การแช่น้ำมันจะทำให้พลอยดูดีขึ้น เนื่องจากน้ำมันจะแทรกไปตามรอยแตก ช่วยปิดบังรอยแตก ทดสอบทำได้โดยใช้เข็มร้อนจี้ตามรอยแตก จะเห็นมีน้ำมันเยิ้มออกมา ซึ่งเห็นได้ชัดเจนเมื่อดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
6. “การอุด (Surface repair) “
การอุดพลอยทำได้โดยนำซิลิกาเจล (Silica gel) ป้ายบริเวณที่ต้องการจะอุด แล้วนำพลอยไปเผา ซิลิกาเจลจะกลายเป็นแก้วติดเข้าไปในหลุม
7. “การเคลือบด้วยขี้ผึ้งหรือพลาสติก (Wax or plastic impregnetion) “
นิยมใช้กับพลอยที่มีผิวไม่เรียบ เมื่อเคลือบแล้วพลอยจะสวยขึ้น พลอยที่นิยมเคลือบด้วยขี้ผึ้งหรือพลาสติก ได้แก่ เทอร์ควอยส์ ลาปิสลาซูลีและหยก
8. “พลอยปะ (Assembled stones) “
พลอยปะที่มีในท้องตลาดมีทั้งพลอยปะ 2 ชั้น และพลอยปะ 3 ชั้น เช่น คอรันดัมปะ 2 ชั้น (Corundum doublet) โกเมนปะด้วยแก้ว (Garnet glass doublet) โอปอลปะ 2 ชั้น (Opal doublet) และโอปอลปะ 3 ชั้น (Opal triplet) เบริลปะ 3 ชั้น (Beryl triplet) หยกปะ 3 ชั้น (Jadeite triplet) ควอรตซ์ปะ 3 ชั้น (Quartz triplet) และสปิเนลสังเคราะห์ปะ 3 ชั้น (Synthetic spinel triplet) เป็นต้น
9. “การฉาบสี (Foilback)”
การฉาบสีเป็นการฉาบโลหะสีไว้ด้านหลังพลอย จะช่วยให้สีและประกายของพลอยดีขึ้น ทั้งนี้เพราะโลหะสีที่ฉาบไว้จะช่วยในการสะท้อนแสงของตัวพลอย พบว่าแก้วฉาบสีมีมากในท้องตลาด